ได้ยินกิตติศัพท์มานานพอสมควร ว่าเครื่องรุ่นนี้มันดียังงั้น ดียังงี้ หายากด้วย แต่ในที่สุดก็ได้มาครอบครอง
จากที่คราวก่อนเคยใช้กล่อง DTV สีขาว ต่อกับจอ 32" แล้วภาพมันกากๆมากมาย
จึงได้เปลี่ยนมาเป็น Openbox S10 ซึ่งก็สนุกสนานกับมันอยู่พักนึง แต่ก็เริ่มเบื่อเพราะมันไม่มีอะไรให้เล่นเลย
ดูอย่างเดียวจริงๆ ก็เลยไปหา DM500s มาดูอีกครั้งนึง
*****
รีวิว Openbox S10*****
ในที่สุดก็ไปเสาะหา AZBOX Ultra HD มาอีกตัว เพื่อตอบสนองต่อกิเลสของความใคร่รู้อยากลอง
ก่อนจะทำรีวิวนี้ก็นึกอยู่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี(วะ) เพราะมันมีอะไรเยอะแยะมากมายเหลือเกิน
ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องราคา 3 พันกว่าบาทจะทำได้ขนาดนี้
เอาเป็นว่ารีวิวคราวนี้อาจไม่เป็นระบบระเบียบเท่าใดนะ นึกอะไรได้ก็ใส่ก่อนเลยละกัน
แกะกล่องจ่ายไปสามพันต้นๆก็ได้ของมาเท่านี้
ตัวเครื่อง, AC Adaptor, สาย AC, Remote, สาย HDMI
แต่ไม่ได้คู่มือมาด้วย ไม่รู้ว่าคนขายลืมให้ หรือว่ามันไม่มีมาจากโรงงานก็ไม่อาจทราบได้
ขนาดตัวเครื่องเรียกได้กว้างใหญ่ใช้ได้เลยทีเดียว ขนาดราวๆ 10 นิ้ว x 10 นิ้ว
ถ้าเทียบกับ Openbox และ Dreambox ก็เทียบว่าสองเครื่องนี้จะกลายเป็น ลูกและหลาน ตามลำดับ กันเลยทีเดียว
หน้าปัดด้านหน้าเครื่องถ้ายังไปเปิดฝาปิดช่องเสียบการ์ด ก็จะพบเพียงปุ่ม Power เพียงปุ่มเดียว
หน้าปัดก็มีเพียง LED 2 ดวง ดวงนึงบอกสถานะ Power อีกดวงน่าจะบอกสถานะ LAN ดังนั้นเวลาใช้งานปกติ ไฟแดงจะติดทั้งสองดวง
ที่ขัดตาอย่างนึงของหน้าปัดก็คือ ตัว IR sensor นี่แหล่ะ มันเห็นได้เด่นชัดเจนน่าเกลียดมากเลยครับ
น่าจะหาฟิลเตอร์สีมาปิดไม่ให้มองเห็นตัว sensor ชัดขนาดนี้
เมื่อเปิดฝามาก็จะพบกับช่องเสียบการ์ด, ช่อง USB และปุ่มกดอีก 5 ปุ่ม
ช่องสำหรับล๊อคฝาหน้านั้นจะมองเข้าไปเห็นใส้พุงข้างในกันเลยทีเดียว ไม่มีการทำหลบซักนิด ประหยัดต้นทุนสุดๆ
ในเรื่องหน้าปัดของ AZBOX Ultra HD นี้ขอติฝ่ายออกแบบของโรงงานเป็นอย่างมาก ออกแบบหน้าตาได้เห่ยมาก
Openbox หน้ายังสวยกว่าอีก หรือแม้แต่ Dreambox ก็ยังคิดว่าดูดีกว่านะ
ผมไม่ขอเรียกเครื่องนี้ว่า Clone เพราะว่ามันไม่ได้มีความเหมือนกับต้นฉบับเค้าเลย ต้นฉบับเค้าหน้าตาสวยน่าคบหามาก
ยังไม่นับพวก Connection port ต่างๆนะ ของต้นฉบับเค้ามีครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนตัวนี้ตัดออกไปเกินกว่าครึ่ง
น่าจะเรียกเป็นว่า AZBOX ปลอมซะมากกว่า เพราะที่ใช้ร่วมกับของแท้ได้มีอยู่อย่างเดียวเลยก็คือใช้ซอฟท์แวร์ร่วมกันได้
รีโมทรีโมทที่แถมมา ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องฝึกใช้ให้ชินกับมันซักนิด เพราะว่าสัญลักษณ์ที่ขึ้นบน GUI กับปุ่มบนรีโมทมันใช้สัญลักษณ์ต่างกัน
บนรีโมทเค้าจะใช้ Text เป็นหลักในการบอกฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ เช่น สัญลักษณ์รูปบ้านบน GUI แต่ที่รีโมทจะเขียนว่า "HOME"
ในการใช้งานพบว่ารีโมทมีค่า Repeat rate ที่ไม่เหมาะสม พูดง่ายๆก็คือถ้ากดนานไปนิดนึงก็จะเหมือนกับการกดซ้ำๆลงไป 2-3 ครั้งเลยทีเดียว
กดเบาๆก็ไม่ติด พอกดแรงก็กลายเป็นเบิ้ลซะงั้น
ไม่รู้ว่าเป็นที่รีโมท หรือเป็นที่เฟิร์มแวร์ของเครื่องกันแน่ เอาไว้ดูกันอีกที
รูปรีโมทถ่ายคู่มากับของ Openbox (ด้านซ้ายเป็นรีโมทของ AZBOX)
ช่องต่อด้านหลังเครื่องมีสวิตช์ปิดเปิด สำหรับตัดไฟ DC 12V,24V ที่มาจาก AC Adaptor
มีช่องต่อ DC 12V,24V แบบรูเสียบกลมๆ ดังนั้นถ้า AC Adaptor พังนี่มีปัญหาแน่ เพราะไม่ได้ใช้ไฟเลี้ยงเดี่ยวเหมือนกล่องรุ่นอื่นๆ
มีช่อง USB จัดวางในแนวตั้ง 1 ช่อง
มีช่อง Optical S/PDIF
มีช่อง 12V Output
มีช่อง Analog Audio LR แต่ไม่มีช่อง Video นะ ไม่ว่าจะ Composite หรือ S-Video ก็ไม่มี
มีช่อง RJ45
มีช่อง HDMI (น่าจะแค่ 1.3)
มีช่องเสียบ LNB และ LOOP
เนื่องด้วยไม่มีช่อง Analog Video ดังนั้นท่านที่มี TV ที่ไม่มีช่อง HDMI หรือ DVI ท่านจะไม่สามารถใช้งานเครื่องรุ่นนี้ได้เลยถ้าเทียบกับต้นฉบับเค้าแล้ว เค้ามีทั้ง Composite, S-Video และ Component กันเลยทีเดียว
ถือว่าออกแบบได้ค่อนข้างพลาด เพราะหากใส่ Composite Video มาซักช่องเดียวแบบ Openbox S10 ก็ถือว่าจบแล้ว ขายดีกว่านี้แน่
ตัว AC Adaptor ก็ค่อนข้างใหญ่เทอะทะ แต่ว่าก็ดีอย่างคือไม่ร้อนมาก สาย AC ที่แถมมาเต้าเสียบเป็นแบบยุโรป ซึ่งจะมาขนาด Pin เล็กกว่ามาตรฐาน มอก. 166 ของบ้านเรา
อันอาจจะเกิดการหลวมคลอนได้เมื่อนำไปเสียบกับเต้ารับที่ไม่ได้มาตรฐาน
ตอนต่อไปจะเป็นการเริ่มต้นใช้งาน