บอร์ดไทยคม 24 ต.ค. 2560 มีมติยืนยันว่าทั้ง 2 ดวงไม่ได้อยู่ภายใต้สัมปทาน แต่ดำเนินการภายใต้ไลเซนส์จึงยื่นเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการพิจารณาชี้ขาด เมื่อ 25 ต.ค. 2560 เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 97/2560
ไพบูลย์ ภานุวัฒนวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยคมระบุว่ากว่าจะได้ข้อสรุปอาจถึงปี 2564 หมดสัมปทานไปแล้วก็ได้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการเสนอชื่ออนุญาโตฯแต่ละฝ่ายเข้าไป ก่อนเลือกอนุญาโตฯที่เป็นคนกลาง
ยืนยันว่าไทยคม 7 กับ 8 ได้ใบอนุญาต มีหลักฐานยืนยัน แต่การเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตฯดีคือรัฐจะยกเลิกสัญญาไม่ได้จนกว่าผลจะออก ตอนนี้ทุกฝ่ายดำเนินการตามหน้าที่ของตนเองไป แต่ก็ทราบว่ามีการยกระดับนำเรื่องไปสู่การพิจารณาของรองนายกฯและนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความเข้าใจเรื่องประโยชน์ที่ควรจะเจรจาหาทางออกกับประเทศ
https://www.prachachat.net/facebook-instant-article/news-112206 http://www.thansettakij.com/content/193788https://m.mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000100048http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/773664สรุปแบบย่อๆ ดาวเทียมไทยคมทุกดวง ต้องอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานของรัฐ (ครบอายุสัมปทาน 2564) แต่กลายเป็นว่าดาวเทียมทั้ง 2 ดวงนั้นอยู่ภายใต้ระบบใบอนุญาต ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เป็นไปตามกลไก พ.ร.บ. กสทช. 2558 ออกมาบังคับใช้ ได้กำหนดให้ผู้ประ- กอบการดาวเทียมจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแทนในอัตรา 2% ต่อปี และจ่ายเข้า USO อัตรา 3.75% ต่อปี
แต่ถ้าอยู่ภายใต้สัมปทาน ไทยคมต้องจ่าย 22.5 % ต่อปี
ถามว่าใครได้ประโยชน์ และใครเสียประโยชน์ ข้อแตกต่างของทั้ง 2 แบบ วิญญููชนตัดสินใจได้ใช่ใหมครับ